วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การทำบุญ : อุทิศส่วนกุศล ตามหลักพระพุทธศาสนา


การทำบุญอุทิศส่วนกุศลนี้มีแต่ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องทำความเข้าใจ 2 เรื่องนี้ก่อน


1. ชีวิตหลังความตายนั้นไม่มีการทำมาหากิน ทั้งในสุคติและในทุคติ ชีวิตจะมีสุขอยู่ได้ก็ด้วยกำลังบุญ






2. บุญ คือ พลังงานอันบริสุทธิ์ เป็นเครื่องนำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต คุณสมบัติของบุญ คือ เก็บสะสมเอาไว้ได้ เหมือนกระแสไฟฟ้าที่สามารถชาร์จเก็บสะสมเอาไว้ในแบตเตอรี่ และยังสามารถอุทิศให้แก่ผู้ที่ละโลกไปแล้วได้ 



  • ประวัติของการอุทิศส่วนกุศล
ประวัติครั้งแรกของการอุทิศส่วนกุศลนี้ มีเรื่องเล่าว่า ในครั้งพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร คืนหนึ่งได้ยินเสียงแปลก ๆ ร้องขึ้นมา ก็ทรงตกพระทัย


หลังจากที่ทูลถามพระพุทธเจ้าจึงรู้ว่า เป็นเปรตญาติในอดีตนานมาแล้ว มาร้องขอส่วนบุญ จึงบำเพ็ญมหาทาน ทั้งอาหาร ทั้งถวายผ้าแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวก บุญก็ส่งผลถึงเปรตเหล่านั้น เปลี่ยนจากกายของเปรตเป็นกายของเทวดาทันที
 



นี่ก็เป็นตัวอย่างของบุญที่สามารถอุทิศได้ จากผู้ที่มีชีวิตอยู่บำเพ็ญบุญกุศลแล้วก็ไปให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว


เมื่อเราทำความดีแล้ว บุญกุศลก็เกิดขึ้นแล้ว จะอุทิศถึงผู้อื่นก็ย่อมทำได้ 

  • องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้บุญไปถึงหมู่ญาติได้ คือ
ประการที่ 1 ผู้รับบุญนั้นต้องอยู่ในภาวะที่สามารถรับได้ คือ ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา สามารถรับบุญได้ ถ้าไปเกิดในยมโลก หรือเปรต อสุรกายก็สามารถรับบุญได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์ตายแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ อันนี้ยังไม่สามารถที่จะรับบุญได้

ประการที่ 2 มีผู้ทำบุญสั่งสมบุญ อุทิศบุญไปให้

ประการที่ 3 ต้องได้เนื้อนาบุญ จึงจะทำให้บุญนั้นสำเร็จประโยชน์กับผู้ที่รับบุญ




  • วิธีการอุทิศส่วนบุญก็มีอยู่ 2 วิธี คือ 
1. กรวดน้ำ หลังจากทำบุญเสร็จแล้ว เมื่อพระเริ่มสวดให้พร เราก็ยกคนโทแล้วก็รินน้ำไปไม่ให้ขาดสาย อันนี้เป็นอุบาย เพราะการที่จะส่งบุญไปให้หมู่ญาติได้นั้นต้องมีสมาธิ ใจต้องไม่ฟุ้งซ่าน

2. ทำสมาธิระลึกนึกถึงบุญ แล้วก็นึกถึงชื่อนามสกุล หรือรูปร่างหน้าตาของหมู่ญาติหรือบุคคลที่เราต้องการแผ่ส่วนบุญชนิดจำเพาะเจาะจงให้



แต่จะอุทิศส่วนกุศลโดยรวม ๆ ก็ได้ โดยกล่าวว่า... 

"อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย" 

ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ของข้าพเจ้า 
ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงประสบความสุขด้วยเถิด...

  • บุคคลที่เราจะอุทิศบุญนั้น แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 บิดามารดา ผู้มีพระคุณ หมู่ญาติ ครูบาอาจารย์ โดยการนึกถึงท่าน นึกถึงชื่อ นามสกุลท่าน

กลุ่มที่ 2 คู่กรรมคู่เวรทั้งหลายที่เคยล่วงเกินกันมา แล้วผูกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันมาตั้งแต่ในอดีต โดยอธิษฐานว่า กรรมใดที่เราล่วงเกิน ก็ขอให้เป็นอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน

กลุ่มที่ 3 สรรพสัตว์ทั้งหลาย


การอุทิศบุญไปให้กับหมู่ญาติทั้งหลายนั้น ไม่ได้ทำให้บุญของเราลดลง เปรียบเหมือนเรามีเทียนติดไฟอยู่ เราเอาเทียนดวงนี้ไปต่อให้เทียนดวงอื่น ความสว่างของเราไม่ได้ลดลง แต่ความสว่างโดยรวมกลับเพิ่มมากขึ้น







ในอีกมุมหนึ่ง หลังจากที่เราเสียชีวิตไปแล้ว จะมารอหมู่ญาติอุทิศไปให้ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะมีเวลาและโอกาสที่จะไปทำบุญและอุทิศให้กับเราหรือเปล่า ดังนั้นขณะที่เรามีชีวิตอยู่นั้น ควรตั้งใจสั่งสมบุญให้เต็มที่จะดีที่สุด 

Cr. พระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส
https://www.facebook.com/Sanitwong072

ขอขอบคุณภาพจาก www.dmc.tv, www.webkal.org, เพจภาพดีๆ072



วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ฝ่ามือพ่อ


ฝ่ามือพ่อ ผู้เป็นสุดยอดกัลยาณมิตร

เดือนธันวาคมก็เวียนมาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 42 ในชีวิตของอาตมา และเป็นครั้งที่ 12 ในชีวิตสมณะ หรือเรียกตามภาษาพระว่า 12 พรรษา ถ้าจะพูดถึงเดือนนี้ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี ในชีวิตก่อนบวชก็คิดแต่จะไปเที่ยวปีใหม่ที่ไหน จะไปฉลองที่ร้านอาหารกับเพื่อนคนใด จะซื้อของขวัญไปฝากใครบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเฮฮาปาร์ตี้

          ภายหลังจากบวชมาแล้วก็มีเรื่องให้คิดเหมือนกัน แต่เป็นคนละแบบกับทางโลก ประมาณว่า เวลาจะหมดอีก 1 ปีมัจจุราชก็เข้ามาใกล้อีก ความตายจะมาเยือนแล้ว ต้องขยันนั่งสมาธิให้มากขึ้น เดี๋ยวไม่ทันการ ส่วนนิสัยเสียของเราก็ยังแก้ไขไม่หมด ก็ต้องพยายามให้มากขึ้น เดี๋ยวตายซะก่อน แล้วนิสัยแย่ ๆ จะติดไปข้ามชาติ นี่ก็เป็นความคิดของพระ

แต่มีวันหนึ่งในเดือนนี้ ที่อาตมาคิดถึงในใจตลอดคือ วันที่ 21 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อทัตตชีโว ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา พอถึงวันนี้ของทุก ๆ ปี พวกเราก็อยากทำความดีถวายท่าน บูชาธรรมท่าน เพราะท่านมีพระคุณเอนกอนันต์ต่อชีวิตของอาตมา ฉุดอาตมาขึ้นมาจากนรก ทำให้ตาสว่าง เห็นหนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง ฝึกฝนพวกเราให้รู้จักการสร้างบารมีที่ถูกต้อง ท่านสามารถแก้ปัญหาค้างคาใจของลูก ๆ ท่านทุกรูป/คนได้อย่างชัดเจนและง่ายต่อการปฏิบัติ และยังมีคุณูปการอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งเขียนกันไม่หมดในที่นี้

 หลวงพ่อทัตตชีโว


เมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อแล้ว ทำให้อาตมาคิดถึงวันเก่า ๆ ที่เคยกราบท่านก่อนที่จะบวช ซึ่งมีอยู่ 2 ครั้งด้วยกัน แต่ครั้งสำคัญที่จะกล่าวถึงนี้ เป็นครั้งที่ทำให้อาตมาเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตไปตลอดกาล ทั้งที่ได้กราบท่านโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น

ย้อนไปสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นหลวงพ่อไปเยี่ยมลูก ๆ ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ท่านโดยสารเครื่องบินมา และพักที่ห้องรับรองในสนามบิน วันนั้นโยมพ่อชวนอาตมา (ตอนนั้นเป็นโยม) ไปกราบหลวงพ่อด้วยกัน ตอนนั้นอาตมาลังเลใจอยู่ ใจจริง ๆ เลยอยากไปกราบท่านมาก แต่ที่ลังเลเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า 3 วันก่อนนั้นเราเพิ่งไปปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ มา กลัวว่าถ้าไปกราบท่านแล้ว ท่านจะทราบว่าเราไปทำเรื่องห่วย ๆ ไว้ แต่ก็คิดต่อว่า ไม่เป็นไร เราก็อาบน้ำแบบให้สะอาดสุด ๆ แปรงฟันหลาย ๆ รอบ ตามด้วยน้ำยาบ้วนปาก ใส่น้ำหอมหน่อยเพื่อกันพลาด ปาร์ตี้ก็ผ่านมาตั้ง 3 วันแล้ว ท่านไม่รู้หรอก เมื่อคิดได้ดังนี้ จึงตอบตกลงกับโยมพ่อไป ด้วยความมั่นใจว่าท่านไม่รู้แน่นอน Don't worry, Be happy

ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com


ตัดฉากมาที่สนามบิน ก้าวแรกที่ลงจากรถ ความมั่นใจมันลด มันหด ไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนก้าวเดินของเรา แล้วมันก็หมดพอดีตรงประตูห้องรับรอง ได้แต่หายใจเข้าเฮือกใหญ่ ๆ แล้วหลอกตัวเองต่อไปว่า “ท่านไม่รู้” แล้วโยมพ่อก็เปิดประตูเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่รูปเดียวบนโซฟา องอาจ งามสง่ามาก ผิวพรรณก็สวยงาม ทำให้อาตมาตะลึงว่าได้กราบกับหลวงพ่อองค์จริง ๆ ที่ผ่านมาเห็นท่านแต่ทางหนังสือและโทรทัศน์ เป็นความรู้สึกตื่นเต้นปลาบปลื้มยิ่งกว่าได้เห็นดารา Hollywood อีก ทำให้ความกลัวเรื่องที่ท่านจะรู้หรือไม่นั้นหมดไปลืมไป หลวงพ่อท่านก็ทักทายกับโยมพ่อด้วยความเมตตาเป็นกันเอง เหมือนพ่อคุยกับลูก บรรยากาศดีมาก

สักพักโยมพ่อก็แนะนำตัวลูกชายต่อหลวงพ่อ ก่อนที่จะกราบท่าน พอโยมพ่อแนะนำเสร็จ ท่านก็หันมามองอาตมา ด้วยสายตาของครูบาอาจารย์ที่มีความเด็ดขาดและทรงพลังมาก ไม่เหมือนกับที่มองโยมพ่อ ในวินาทีนั้นชายหนุ่มเจ้าสำราญก็ทราบได้ในทันทีว่า น้ำหอมไม่ได้ช่วยอะไร การอาบน้ำนาน ๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร น้ำยาบ้วนปากก็ไม่ช่วยอะไร และมันผ่านมา 3 วันก็ไม่ได้ช่วยอะไร ในระหว่างที่กราบอยู่ ในใจคิดอยู่เรื่องเดียวว่า “หลวงพ่อรู้”

พอกราบเสร็จ หลวงพ่อก็ยังคงมองอาตมาอยู่ ด้วยสายตาที่ทราบว่า เราไปทำเรื่องเลว ๆ มา แล้วท่านก็กวักมือเรียกอาตมาไปใกล้ ๆ “มาใกล้ ๆ นี่ไอ้หนู” อาตมาก็ขยับเข้าไปอีกนิดนึง ท่านก็ว่าเข้ามาอีก แล้วก็กวักมือเป็นเชิงสัญญาณว่าให้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้ขนาดไหน ก็ขาของอาตมาไปชิดกับปลายเท้าของหลวงพ่อพอดี แล้วเมื่ออาตมาก็เงยหน้ามองหลวงพ่อ ก็เห็นท่านยกมือ น่าจะเป็นมือซ้าย ยอมรับว่าจำไม่ได้เพราะเร็วมาก แล้วมือข้างนั้นก็หวดลงมากลางหลังของอาตมาเสียงดัง “พลั่ก” พร้อม ๆ กับคำสอนที่เปลี่ยนนิสัยอาตมา “ไอ้หนู เอ็งทำตัวดี ๆ นะ”



หลังจากนั้นอาตมาจึงคลานออกมา แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย มีแต่ความคิดวนเวียนอยู่ในหัวว่า อายมาก อายครูอาจารย์ อายจนหน้าแดงร้อนผ่าวไปหมด ไม่ใช่อายเพราะโดนหลวงพ่อตบหลัง แต่อายต่อความผิดต่อครูบาอาจารย์ และที่ท่านตบหลังเราเหมือนเตือนสติ และให้คำสอนที่ให้เราประพฤติตัวเสียใหม่ เสียงดัง “พลั่ก” ที่เกิดจากหลวงพ่อตบหลังนั้นดูเหมือนจะแรง แต่อาตมาไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนท่านแตะหลังเบา ๆ มีแต่เสียง ไม่มีแรง เหมือนเราเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาม้วนหลวม ๆ แล้วตีศีรษะเล่นกัน มันดังมากแต่ไม่เจ็บ แต่การตบหลังของหลวงพ่อนั้น มันกระทบที่จิตใจของลูกผู้ชายคนนี้เต็มเปาเลย

พอหลังจากวันนั้นไม่นาน หนุ่มเจ้าสำราญก็ตัดใจหักดิบเลิกอบายมุขทั้งหมด ด้วยความคิดที่ว่า “เราจะยังมีหน้าไปบอกกับคนอื่นว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อได้อย่างไร เมื่อในมือเรายังถือเบียร์อยู่ ยังมั่วสุมในอบายมุขอยู่ พอกันที เลิกให้หมด” แล้วชีวิตก็ได้มีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พอเราเลิกอบายมุขได้ ความดีความประเสริฐมาแทนที่ เพื่อนคนพาลหายไปหมด มีแต่กัลยาณมิตรมาแทน ความคิดเราก็เปลี่ยนไป อยู่ในเส้นทางธรรมมากขึ้น จนในที่สุดจึงได้มาบวชทดแทนคุณครูบาอาจารย์ คุณโยมพ่อโยมแม่ อาศัยคำพูดของบัณฑิตคือ หลวงพ่อทัตตชีโวไม่กี่คำ ใช้เวลาในการเข้าหาท่านไม่ถึง 5 นาที ยังประเสริฐกว่าคำสอนในมหาวิทยาลัยตลอด 4 ปี ที่ไม่สามารถปิดนรกเปิดสวรรค์ให้กับอาตมาได้ ท่านเปลี่ยนแปลงผู้ชายขี้เหล้าเมายาให้มาเป็นพระได้จนถึงทุกวันนี้



อาตมาก็มาคิดทบทวนย้อนหลังถึงเหตุการณ์นี้ว่า “กัลยาณมิตรเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์” กว่าอาตมาจะได้มาบวชก็อาศัยกัลยาณมิตร คือโยมพ่อโยมแม่ คอยสนับสนุนการทำความดีทุกรูปแบบ ได้พบกับคำสอนของหลวงพ่อ ที่เน้นย้ำถึงการสร้างบารมี เน้นย้ำถึงมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่ ที่จะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม จนอาตมาได้มาบวชแล้วก็ยังพึ่งพาคำสอนอันประเสริฐของหลวงพ่ออยู่ เพื่อที่อาตมาจะได้อาศัยประคับประคองเพศสมณะได้ตลอดชีวิต พร้อม ๆ กับการสร้างบารมีที่จะต้องให้แก่รอบมากยิ่งขึ้นไป

ดังนั้นชีวิตของอาตมาที่ได้พบกับสุดยอดกัลยาณมิตร คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงเป็นชีวิตที่ประเสริฐยิ่ง เป็นชีวิตที่มีแก่นสาร ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบกับพระพุทธศาสนา ได้บวชเป็นพระสร้างบารมีไปตลอดชีวิต อาตมาจึงขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างสุดจิตสุดใจเลยครับ 

อินฺทพโลภิกขุ







Cr.ไผ่น้ำเต้า
ขอขอบคุณ ภาพจาก www.dmc.tv, เพจภาพดีๆ072, www.pixabay.com



วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562

บันทึกการชวนบวช



บันทึกการชวนบวช 2 ธันวา 62

เช้านี้ พวกเราสี่คนออกเดินทางจากปทุมธานี เพื่อไปเชิญชวนคนบวชกันที่ตลาดกีบหมู มีนบุรี แหล่งนัดพบช่างฝีมือ ที่เราทราบมาว่าจะมีชายแมน ๆ มากมาย มารอคอยผู้จ้างวานไปทำงานก่อสร้างตกแต่งอาคารและรับจ้างทั่วไป

เราได้เจอช่างหลาย ๆ คนที่ตั้งใจมาหางานทำ เมื่อได้พูดคุยเชิญชวนก็พบว่า พวกเขาต่างกังวลกับภาระต่าง ๆ เช่น เลี้ยงดูลูกและภรรยา ส่งลูกเรียนหนังสือ หาเลี้ยงปากท้องตนเอง ส่วนใหญ่แล้วก็ได้พูดคุยกันเป็นอันดี แต่ก็ปฏิเสธที่จะบวชในตอนนี้ ขณะที่คุยอยู่กับช่างกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอายุมากพอสมควร เป็นคุณตาที่มีหลานแล้ว ก็ยังต้องมีภาระเลี้ยงหลานอยู่ ก็รู้สึกว่า หาคนสนใจยากจัง





แต่แล้วเราก็หันไปเจอชายหนุ่มแต่งตัวแบบวัยรุ่นนั่งกันอยู่ใกล้ ๆ กันนั้น คิดในใจว่า เอานะ เราต้องให้โอกาสทุก ๆ คน เสมอกันสิ จึงได้หันไปคุยกับน้องสองคนนั้นว่าสนใจบวชมั้ย บวชเพื่อทดแทนคุณพ่อแม่ บวชเพื่อเป็นการศึกษาหาความรู้ เติมบุญใส่ตัว เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น และยังได้มีโอกาสเดินธรรมยาตราอีกด้วย

คนแรกตอบว่า บวชแล้ว อีกคนบอกว่า ยังไม่บวช เคยคิดบวชเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็ไม่ได้บวชเพราะท่องคำขานไม่ได้ เป็นคนหัวช้า และอ่านเขียนหนังสือไม่ค่อยได้ จบแค่ป.4 แต่เราก็เชื่อว่าเค้าจะมีพระอาจารย์และเพื่อนที่ช่วยกันพาเค้าท่องได้ เพราะจะมีเพื่อนบวชเป็นจำนวนมาก และพระอาจารย์ก็มีเมตตาที่จะช่วยฝึกฝนและเคี่ยวเข็ญเค้าได้ เราถามว่าเค้าชื่ออะไรได้ความว่าชื่อ บอย เราจึงชวนบอยไปบวชในโครงการบูชาธรรมหลวงพ่อทัตตชีโวกัน ซึ่งเริ่มเข้าอบรมได้แล้ว




เพื่อนข้าง ๆ ที่ยังติดปัญหาภาระครอบครัวอยู่ ก็ได้ให้กำลังใจบอยว่า นักร้องลูกทุ่งบางคนก็อ่านไม่ออกนะ ยังจำเนื้อเพลงได้เลย แล้วไปบวชนี่ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมาก ตอนเค้าบวชนี่หมดไปสองแสนห้าเลยนะ พอถามบอยอีกทีว่าสนใจไปบวชเลยมั้ย บอยตอบว่าก็น่าสนใจ แต่ต้องถามแฟนดูก่อน เราถามว่า เค้าจะไปถามเลยไหม แฟนอยู่ไหน เค้าบอกว่าอยู่ซอยข้างหน้านี้เอง ไปถามเลยก็ได้ พวกเราก็เลยเดินตามเค้าไปเข้าตรอกซอกซอย จนกระทั่งถึงห้องเช่าของเขา แต่ก็ไม่เจอแฟน เราก็ถามอีกว่า ทำไมบอยถึงอยากบวช  บอยเล่าว่าพ่อแม่ก็อยากบวชตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว ใจผมก็อยากบวช อยู่กับแฟนก็มีแต่เรื่องทะเลาะกัน เราเลยถามตรง ๆ ว่า งั้นไปเลยมั้ย บอยตอบตกลง แล้วก็ไปเก็บข้าวของเพื่อขึ้นรถไปวัดเลย

          ระหว่างเดินทางเราได้ลองพูดคุยกับบอยว่า รู้จักวัดพระธรรมกายไหม  บอยบอกว่ารู้จักจากข่าว และไม่รู้ทำไม อยากเจอหลวงพ่อองค์ที่ใส่แว่น ผมเคยคิดว่าอยากไปกราบหลวงพ่อองค์นี้จังเลย เราก็รู้สึกแปลกใจมาก แล้วพอถามว่า ทำไมถึงรู้จักท่าน บอยบอกว่าเห็นในทีวี แล้วเชื่อตามข่าวมั้ย บอยบอกว่าไม่เชื่อ ทำไมล่ะ ผมไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่าย ๆ  ระหว่างทางน้องก็รำพึงว่า อยากมีเพื่อน พอถามว่า แถวบ้านที่อยู่ไม่มีเพื่อนเหรอ บอยบอกว่า ไม่มี ผมไม่คบคนแถวนั้น ทำไมล่ะ? คนกินเหล้าสูบบุหรี่ ผมไม่ชอบ ไม่สุงสิง ในใจเราก็คิดว่า เออ น้องคนนี้เรียนก็ไม่จบป.4 แต่รู้จักทำตามหลักกาลามสูตร คือ ไม่เชื่อเพราะฟังตามกันมา และดำเนินชีวิตตามหลักมงคลสูตรนะ คือ ไม่คบคนพาล อีกด้วย

          เมื่อถึงวัด บอยได้มาสัมภาษณ์กับพระอาจารย์ ท่านถามว่า ผ่านทหารหรือยัง บอยบอกว่า เค้าไม่รับ เพราะผมหัวสมองช้า พระอาจารย์เมตตามาก บอกว่า ท่านก็ไม่ผ่านทหารเหมือนกัน เพราะความกว้างหน้าอกไม่ผ่าน คงเป็นบุญของเราที่จะได้มาบวช เมื่อถามคุณสมบัติต่าง ๆ ที่บอยมี คือ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ยินดีที่จะกินแค่ 2 มื้อ และยอมเชื่อฟังคำอบรมตักเตือนได้ พระอาจารย์ก็ออกปากชมว่าดีมาก ๆ ไปเจอน้องที่ไหน เราก็ได้เรียนท่านไป นอกจากนี้บอยเป็นช่างทาสีได้ อีกหน่อยเมื่อไปพัฒนาวัด เค้าก็จะทำหน้าที่นี้ได้ 

บอยดูยิ้มแย้มและมีความสุข เมื่อได้เห็นเพื่อน ๆ ที่มาก่อนกำลังมาฝึกระเบียบร่วมกันในชุดขาว บอยถามว่า จะหาเสื้อขาวได้ที่ไหน เมื่อดูจากหน้าตา ทรงผม รูปร่าง และการแต่งตัว บอยจะดูเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ดูไม่ค่อยสะอาดสดใสนัก แต่จากการพูดคุยกับบอย ทำให้เราปลื้มใจว่า เรากำลังพาชายหนุ่มที่มีความใฝ่ดีก้าวมาสู่ชีวิตที่สูงส่ง ก้าวสู่ชีวิตสมณะ เป็นการหยิบยื่นโอกาสที่หลายคนมองไม่เห็น แต่บอยเห็น และบอยก็เต็มใจจะคว้าเอาไว้




          แม้ว่าบอยจะดูเหมือนคนหลง ๆ ลืม ๆ อยู่บ้าง ก็ไม่ได้ทำให้เรากังวลใจอะไร กลับทำให้เรานึกถึงจูฬปันถกอรหันตเถระ ผู้บรรลุธรรมด้วยการลูบผ้าเพราะไม่สามารถท่องจำมนต์ใด ๆ ได้เลย แต่มีศรัทธาเต็มเปี่ยมที่จะบวชเรียนในสำนักของพระพุทธองค์ แม้จะน้อยอกน้อยใจบ้างที่ถูกเพื่อนสหธรรมิกดูแคลน แต่ก็ยังเชื่อฟังพระพุทธองค์ที่จะทำสมาธิด้วยการลูบผ้า จนกระทั่งบรรลุอรหัตผล และยังเป็นเอตทัคคะด้านมโนมยิทธิอีกด้วย หากบอยมีโอกาสได้นั่งสมาธิ บอยจะได้พัฒนาด้านสติปัญญาอย่างแน่นอน

พระจูฬปันถกเถระ 

เราเชื่อเต็มหัวใจว่าบอยเป็นบุคคลที่โชคดี ที่จะมีโอกาสได้บวช แต่โอกาสนี้จะไปถึงเค้าก็ต่อเมื่อมีผู้ที่มีหัวใจกัลยาณมิตร ไปชักชวนและทำให้บอยเป็นผู้ได้โอกาสในครั้งนี้ หากนึกถึงชายแมน ๆ ขึ้นมาได้ ก็อย่าได้รั้งรอ เพราะโอกาสก็เหมือนอากาศในช่วงนี้ ที่พัดผ่านมาให้เย็นสบายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ ขอเพียงเราไม่ประมาทในชีวิต คิดสร้างบุญสั่งสมบารมีให้ทับทวีเต็มเปี่ยม เมื่อคนในประเทศเป็นคนดีมีศีลธรรมมีมากขึ้น เมื่อนั้นความสุขก็จะคืนกลับมาหาเราได้อย่างแท้จริง

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ธรรมสำหรับละนิวรณ์


ธรรมสำหรับละนิวรณ์


นิวรณ์” หมายถึง เครื่องกั้น คือเครื่องกั้นความดี ซึ่งมีอยู่ 5 ประการด้วยกัน กล่าวโดยภาษาง่ายๆ คือ
-กามฉันทะ หมายถึง ความยินดีพอใจในกามคุณ
-พยาบาท หมายถึง ความโกรธ
-ถีนมิทธะ หมายถึง ความหดหู่ ง่วงซึม
-อุทธัจจกุกกุจจะ หมายถึง ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญใจ
-วิจิกิจฉา หมายถึง ความลังเลสงสัย



นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ที่ใฝ่ในธรรม เพราะเมื่อนิวรณ์เหล่านี้เกิดในใจ ก็จะทำให้เราไม่สามารถทำคุณงามความดีได้ ซึ่งรวมถึงความดีหลายๆ ประเภท ซึ่งรวมทั้งการไม่สามารถทำสมาธิ ทำวิปัสสนาได้อีกด้วย นิวรณ์จึงมีโทษมาก เพราะตัวเองเป็นความชั่ว เป็นอกุศล ที่เมื่อเกิดขึ้นกับใคร ก็มีลักษณะกั้นไม่ให้ความดีหรือกุศลเกิดขึ้นอีกด้วย

เหตุ ที่ทำให้นิวรณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ก็เพราะการไม่ตั้งใจด้วยดี เผลอสติ ไม่ประกอบด้วยปัญญา เรียกว่ามี “อโยนิโสมนสิการ” เมื่อไปใส่ใจโดยวิธีการเหล่านี้ ที่ทางธรรมเรียกว่า ไม่แยบคาย (เช่น ไม่ใส่ใจโดยความเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน และไม่งาม หรือไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาอันถูกต้อง เช่น กัมมัสสกตาปัญญา เป็นต้น) ในอารมณ์ที่เป็นเหตุให้เกิดนิวรณ์เหล่านี้ นิวรณ์ก็เกิดขึ้นในใจ เช่น ไปใส่ใจในรูปสวย ๆ โดยไม่พิจารณาอย่างแยบคาย กามฉันทนิวรณ์ก็เกิดขึ้น หรือใส่ใจโดยไม่แยบคายในเสียงที่เขาด่าว่า พยาบาทนิวรณ์ก็เกิด เป็นต้น ที่สำคัญคือ เรารู้กันอยู่แล้วว่านิวรณ์เป็นสิ่งไม่ดี จะทำอย่างไรให้นิวรณ์ไม่เกิด หรือเกิดน้อยลง แม้ปุถุชนจะยังไม่สามารถตัดกิเลสได้โดยสมบูรณ์ แต่ในอรรถกถาของมหาสติปัฏฐานสูตร ได้แสดงถึงวิธีละนิวรณ์ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงขอนำมาโดยย่อดังนี้

กามฉันทะ ละได้โดย โยนิโสมนสิการ คือ ใส่ใจโดยแยบคาย ในอารมณ์ที่ไม่งาม (อสุภนิมิต) ย่อมเป็นไปเพื่อการลดละกามฉันทะ และยังมีธรรมอีก 6 ประการที่เป็นไปเพื่อละกามฉันทะ คือ


การถืออสุภนิมิตเป็นอารมณ์

การประกอบเนือง ๆ ซึ่งอสุภภาวนา

การรักษาทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย

ความรู้จักประมาณในโภชนะ

ความมีกัลยาณมิตร

การพูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ



พยาบาท ละได้โดย โยนิโสมนสิการ คือ ใส่ใจโดยแยบคาย ในการเจริญเมตตาและเมตตาสมาธิ ย่อมเป็นไปเพื่อการลดละพยาบาท และยังมีธรรมอีก 6 ประการที่เป็นไปเพื่อละพยาบาท คือ

การกำหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์

การประกอบเนือง ๆ ซึ่งเมตตาภาวนา

การพิจารณาถึงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน

การทำให้มากซึ่งการพิจารณา

ความมีกัลยาณมิตร

การพูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ

ภาพจาก สพฐ


ถีนมิทธะ ละได้โดย โยนิโสมนสิการ คือ ใส่ใจโดยแยบคาย ในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร เป็นต้น การใส่ใจด้วยดีในความเพียร ทั้งความเพียรระดับเริ่มแรก ระดับที่มีกำลัง และระดับที่มีกำลังยิ่ง ช่วยลดละถีนมิทธะ และยังมีธรรมอีก 6 ประการที่เป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ คือ


การกำหนดนิมิตในโภชนะส่วนเกิน

การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ

การใส่ใจถึงอาโลกสัญญา (แสงสว่าง)

การอยู่กลางแจ้ง

ความมีกัลยาณมิตร

การพูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ




อุทธัจจกุกกุจจะ ละได้โดย โยนิโสมนสิการ คือ ใส่ใจโดยแยบคาย ในความสงบแห่งใจ คือ สมาธิ ย่อมเป็นไปเพื่อการลดละอุทธัจจกุกกุจจะ และยังมีธรรมอีก 6 ประการที่เป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ คือ


ความฟังมาก

ความสอบถาม

ความชำนาญในพระวินัย

ความคบผู้เจริญ

ความมีกัลยาณมิตร

พูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ





วิจิกิจฉา ละได้โดย โยนิโสมนสิการ คือ ใส่ใจโดยแยบคาย ในธรรมประเภทต่างๆ มีกุศลธรรม เป็นต้น ย่อมเป็นไปเพื่อการลดละวิจิกิจฉา และยังมีธรรมอีก 6 ประการที่เป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา คือ

ความฟังมาก

ความสอบถาม

ความชำนาญในพระวินัย

ความมากด้วยศรัทธา ความน้อมใจเชื่อ

ความมีกัลยาณมิตร

การพูดแต่เรื่องที่เป็นสัปปายะ



จะเห็นได้ว่าโดยรวมแล้ว การป้องกันและลดละนิวรณ์นั้นทำได้โดยทางใจ การคิดให้ถูก มองอะไรให้ถูกต้องตามธรรมย่อมช่วยได้ อีกทั้งโดยรวมแล้ว หากเราเลือกคบคนดี คือ กัลยาณมิตร และระมัดระวังการพูดการเจรจาให้เป็นไปแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นของอกุศล (เรียกว่า สิ่งที่สัปปายะ หรือสิ่งที่สบาย) ก็สามารถช่วยลดละนิวรณ์ทุกข้อได้อย่างมากมาย...

ขอบคุณบทความจาก หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ โดย...คุณสลิต
http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/141238/ธรรมสำหรับละนิวรณ์
เผยแพร่ใน เว็บไซต์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ขอบคุณภาพจาก เว็บไซต์สำนักงานการศึกษาพื้นฐาน , เพจ wordy guru, www.dmc.tv, www.webkal.comเพจการบ้าน  

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ระเบิดเวลาอยู่ในตัว

เรามีระเบิดเวลาอยู่ในตัว..คนละหลาย ๆ ลูก !

ภาพจาก www.pixabay.com



เราคงนึกไม่ถึงว่า อดีตที่ผ่านมา ในภพชาติก่อน ๆ นั้น

เราเคยทำบาป อกุศลไว้มากน้อยเพียงใด
ซึ่งมันเป็นระเบิดเวลาของชีวิต
ที่แต่ละคน มีกันคนละหลาย ๆ ลูก
พูดง่าย ๆ คือ นับลูกไม่ถ้วน คอยเรียงคิว
รอวันเวลา ที่จะระเบิดอยู่ภายในตัวของเรา



ภาพจาก www.dmc.tv


ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตในปัจจุบันนี้

เราก็มีเรื่องที่ทำพลาดพลั้งไป
เมื่ออกุศลเข้าสิงจิต เพราะฉะนั้นอย่าประมาท ชะล่าใจ




หมั่นฝึกฝนอบรมใจของเราให้หยุดนิ่ง ให้ใสเข้าไว้

ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้
อย่างน้อย ก็ให้ได้ดวงธรรมใส ๆ
ติดอยู่กลางกายตลอดเวลา ก็พอจะเป็นเครื่องอุ่นใจว่า
ชีวิตของเราจะปลอดภัยในปรโลก ในสังสารวัฏ

ภาพจาก www.dmc.tv



แต่ให้ปลอดภัยที่สุดคือ ปฏิบัติธรรม
ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
เพราะนอกจากจะปลอดภัยใน ปรโลก ในสังสารวัฏแล้ว
เรายังมีความสุขในโลกสวรรค์อีกยาวนาน



การจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์อย่างมีความสุขได้นั้น
เราต้องประกอบ เหตุให้ครบถ้วนบริบูรณ์
ทั้งทาน ศีล ภาวนา อดีตที่ผิดพลาดก็ให้ดีดทิ้งไป
ลืมไปให้หมด ปัจจุบันก็หมั่นฝึกฝนอบรมใจ
สั่งสมบุญบารมีทั้งทาน ศีล ภาวนา ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป










อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
และมีคุณค่า เมื่อถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ใจจะได้ใส ๆ เดินทางไกล
ไปสู่ปรโลกได้อย่างปลอดภัยและมีชัยชนะ



๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

คำสอนคุณครูไม่ใหญ่ ๒





ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com, 
www.dmc.com, เพจการบ้าน 

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2562

วันพระต้องละนิวรณ์



วันพระต้องละนิวรณ์ แล้วนิวรณ์นั้นคืออะไร?

       แม้วันพระจะไม่ได้มีหนเดียว แต่เมื่อวันพระเวียนมาถึง โอกาสที่จะสั่งสมบุญอย่างเต็มที่ก็มาเยือนด้วยเช่นกัน พุทธศาสนิกชนจึงไม่ให้ควรปล่อยให้นิวรณ์นั้นมา กีดกั้นขวางการสร้างบุญกุศลทุกอย่าง ทั้งทาน ศีล ภาวนา จึงขอเชิญทุกท่านมาศึกษาว่า นิวรณ์นั้นคืออะไร เพื่อทบทวนและจะได้รู้เท่าทันอุปสรรคในการทำความดีของเรา

 ภาพจากเพจการบ้าน
ภาพจากเพจการบ้าน


นิวรณ์ ๕ คือ  เครื่องกีดกั้นการทำงานของจิต สิ่งที่ขัดขวางความดีงามของจิตมี    อย่างคือ

      ๑) กามฉันทะ  ความพอใจในกาม  คือ  ความอยากได้ในกามคุณทั้ง    คือ  รูป เสียง  กลิ่น รส  โผฏฐัพพะ   ที่น่าปรารถนา  น่าใคร่  น่าพอใจ  เป็นกิเลสพวกโลภะ

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบกามฉันทะเหมือน “หนี้”   ผู้ที่เป็นหนี้เขา  แม้จะถูกเจ้าหนี้ทวงถามด้วยคำหยาบ ก็ไม่อาจโต้ตอบอะไรได้   ต้องสู้ทนนิ่งเฉย  เพราะลูกหนี้เขา  แต่ถ้าเมื่อใดชำระหนี้หมดสิ้นแล้ว  มีทรัพย์เหลือเป็นกำไร  ย่อมมีความรู้สึกเป็นอิสระและสบายใจ  อุปมาข้อนี้ฉันใด  ผู้ที่สามารถละกามฉันทะในจิตใจได้เด็ดขาดแล้ว  ย่อมมีความปราโมทย์ยินดีอย่างยิ่งฉันนั้น

ภาพจากpixabay
ภาพจาก pixabay.com


       ๒) พยาบาท   ความขัดเคืองแค้นใจ  ได้แก่  ความขัดใจ  แค้นเคือง  เกลียดชัง   ความผูกใจเจ็บ  การมองในแง่ร้าย  การคิดร้าย  มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู 

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบพยาบาทเหมือน “โรค”    ผู้ที่เป็นโรคต่างๆ  ย่อมมีความทุกข์  มีความเจ็บป่วย ไม่สบายทั้งกายและใจ  เมื่อจะทำการสิ่งใดก็ต้องฝืนทำด้วยความทรมาน  ยากที่จะพบความสุขความสำเร็จได้ฉันใด  ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจ   พยาบาท  ใจย่อมเป็นทุกข์  กระสับกระส่าย  แม้จะพยายามปฏิบัติธรรม  ก็ยากที่จะซาบซึ้ง ในรสแห่งธรรม ไม่อาจพบความสุขอันเกิดจากฌานได้ฉันนั้น

ภาพจาก pixabay.com


       ๓) ถีนมิทธะ  คือ  ความหดหู่และเซื่องซึม  แยกเป็นถีนะ  ความหดหู่  ห่อเหี่ยว  ถดถอย   ท้อแท้  ความซบเซา  เหงาหงอย  ละเหี่ย   ที่เป็นอาการของจิตใจกับมิทธะ  ความเซื่องซึม  เฉื่อยเฉา  ง่วงเหงาหาวนอน  โงกง่วง  อืดอาด ตื้อตัน  อาการซึม ๆ เฉา ๆ  ที่เป็นไปทางกาย

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงเปรียบถีนมิทธะเหมือน  “การถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ” คนที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ นั้น  ย่อมหมดโอกาสที่จะได้รับความบันเทิงจากการเที่ยวดูหรือชมมหรสพต่าง ๆ   ในงานนักขัตฤกษ์ฉันใด   ผู้ที่ตกอยู่ ในอำนาจถีนมิทธะ ย่อมหมดโอกาสที่จะรับรู้รสแห่งธรรมบันเทิง  คือ  ความสงบสุขอันเกิดจากฌานฉันนั้น

ภาพจาก pixabay.com


       ๔)  อุทธัจจกุกกุจจะ  คือ  ความฟุ้งซ่านและเดือดร้อนใจ  แยกเป็นอุทธัจจะ  ความที่จิตฟุ้งซ่าน  ไม่สงบซัดส่าย  กับกุกกุจจะ  ความวุ่นวายใจ  รำคาญใจ ระแวง  เดือดร้อนใจ  ยุ่งใจ กลุ้มใจ

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบอุทธัจจกุกกุจจะเหมือน  “ ความเป็นทาส “ ผู้ที่เป็นทาสเขา  จะไปไหน ตามความพอใจไม่ได้  ต้องคอยพะวงถึงนาย เกรงจะถูกลงโทษ  ไม่มีอิสระในตัว

ภาพจาก pixabay.com


       ๕) วิจิกิจฉา  คือ  ความลังเลสงสัย  ได้แก่  ความเคลือบแคลง  ไม่แน่ใจ สงสัย  เกี่ยวกับพระศาสดา  พระธรรม  พระสงฆ์   เกี่ยวกับสิกขา  เป็นต้น 

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบวิจิกิจฉาเหมือน  “ บุรุษผู้มั่งคั่งเดินทางไกลและกันดาร พบอุปสรรคมากมาย “ บุรุษที่เดินทางไกล  หากเกิดการสะดุ้งกลัวต่อพวกโจรร้าย  ย่อมเกิดความลังเลใจว่า  ควรจะไปต่อหรือจะกลับดี   ความสะดุ้งกลัวพวกโจรผู้ร้าย  เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไกลของบุรุษฉันใด  ความลังเลสงสัยในคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุอริยภูมิของพระภิกษุฉันนั้น


ภาพจาก pixabay.com

ขอบคุณข้อมูลจาก www.dmc.tv
ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com , เพจการบ้าน