ฝ่ามือพ่อ ผู้เป็นสุดยอดกัลยาณมิตร
เดือนธันวาคมก็เวียนมาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่
42 ในชีวิตของอาตมา และเป็นครั้งที่
12 ในชีวิตสมณะ หรือเรียกตามภาษาพระว่า 12 พรรษา ถ้าจะพูดถึงเดือนนี้ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี ในชีวิตก่อนบวชก็คิดแต่จะไปเที่ยวปีใหม่ที่ไหน
จะไปฉลองที่ร้านอาหารกับเพื่อนคนใด จะซื้อของขวัญไปฝากใครบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเฮฮาปาร์ตี้
ภายหลังจากบวชมาแล้วก็มีเรื่องให้คิดเหมือนกัน
แต่เป็นคนละแบบกับทางโลก ประมาณว่า เวลาจะหมดอีก 1 ปีมัจจุราชก็เข้ามาใกล้อีก ความตายจะมาเยือนแล้ว
ต้องขยันนั่งสมาธิให้มากขึ้น เดี๋ยวไม่ทันการ ส่วนนิสัยเสียของเราก็ยังแก้ไขไม่หมด
ก็ต้องพยายามให้มากขึ้น เดี๋ยวตายซะก่อน แล้วนิสัยแย่ ๆ จะติดไปข้ามชาติ นี่ก็เป็นความคิดของพระ
แต่มีวันหนึ่งในเดือนนี้ ที่อาตมาคิดถึงในใจตลอดคือ
วันที่ 21 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อทัตตชีโว
ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา พอถึงวันนี้ของทุก ๆ ปี
พวกเราก็อยากทำความดีถวายท่าน บูชาธรรมท่าน เพราะท่านมีพระคุณเอนกอนันต์ต่อชีวิตของอาตมา
ฉุดอาตมาขึ้นมาจากนรก ทำให้ตาสว่าง เห็นหนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง ฝึกฝนพวกเราให้รู้จักการสร้างบารมีที่ถูกต้อง
ท่านสามารถแก้ปัญหาค้างคาใจของลูก ๆ ท่านทุกรูป/คนได้อย่างชัดเจนและง่ายต่อการปฏิบัติ
และยังมีคุณูปการอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งเขียนกันไม่หมดในที่นี้
เมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อแล้ว ทำให้อาตมาคิดถึงวันเก่า
ๆ ที่เคยกราบท่านก่อนที่จะบวช ซึ่งมีอยู่ 2 ครั้งด้วยกัน แต่ครั้งสำคัญที่จะกล่าวถึงนี้ เป็นครั้งที่ทำให้อาตมาเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตไปตลอดกาล
ทั้งที่ได้กราบท่านโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น
ย้อนไปสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นหลวงพ่อไปเยี่ยมลูก ๆ ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน
ท่านโดยสารเครื่องบินมา และพักที่ห้องรับรองในสนามบิน วันนั้นโยมพ่อชวนอาตมา (ตอนนั้นเป็นโยม)
ไปกราบหลวงพ่อด้วยกัน ตอนนั้นอาตมาลังเลใจอยู่ ใจจริง ๆ เลยอยากไปกราบท่านมาก แต่ที่ลังเลเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า
3 วันก่อนนั้นเราเพิ่งไปปาร์ตี้กับเพื่อน
ๆ มา กลัวว่าถ้าไปกราบท่านแล้ว ท่านจะทราบว่าเราไปทำเรื่องห่วย ๆ ไว้
แต่ก็คิดต่อว่า ไม่เป็นไร เราก็อาบน้ำแบบให้สะอาดสุด ๆ แปรงฟันหลาย ๆ รอบ ตามด้วยน้ำยาบ้วนปาก
ใส่น้ำหอมหน่อยเพื่อกันพลาด ปาร์ตี้ก็ผ่านมาตั้ง 3 วันแล้ว ท่านไม่รู้หรอก
เมื่อคิดได้ดังนี้ จึงตอบตกลงกับโยมพ่อไป ด้วยความมั่นใจว่าท่านไม่รู้แน่นอน Don't
worry, Be happy
ตัดฉากมาที่สนามบิน ก้าวแรกที่ลงจากรถ ความมั่นใจมันลด
มันหด ไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนก้าวเดินของเรา แล้วมันก็หมดพอดีตรงประตูห้องรับรอง ได้แต่หายใจเข้าเฮือกใหญ่
ๆ แล้วหลอกตัวเองต่อไปว่า “ท่านไม่รู้” แล้วโยมพ่อก็เปิดประตูเข้าไป
ภาพแรกที่เห็นคือ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่รูปเดียวบนโซฟา องอาจ งามสง่ามาก ผิวพรรณก็สวยงาม
ทำให้อาตมาตะลึงว่าได้กราบกับหลวงพ่อองค์จริง ๆ ที่ผ่านมาเห็นท่านแต่ทางหนังสือและโทรทัศน์
เป็นความรู้สึกตื่นเต้นปลาบปลื้มยิ่งกว่าได้เห็นดารา Hollywood อีก
ทำให้ความกลัวเรื่องที่ท่านจะรู้หรือไม่นั้นหมดไปลืมไป หลวงพ่อท่านก็ทักทายกับโยมพ่อด้วยความเมตตาเป็นกันเอง
เหมือนพ่อคุยกับลูก บรรยากาศดีมาก
สักพักโยมพ่อก็แนะนำตัวลูกชายต่อหลวงพ่อ ก่อนที่จะกราบท่าน
พอโยมพ่อแนะนำเสร็จ ท่านก็หันมามองอาตมา ด้วยสายตาของครูบาอาจารย์ที่มีความเด็ดขาดและทรงพลังมาก
ไม่เหมือนกับที่มองโยมพ่อ ในวินาทีนั้นชายหนุ่มเจ้าสำราญก็ทราบได้ในทันทีว่า น้ำหอมไม่ได้ช่วยอะไร
การอาบน้ำนาน ๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร น้ำยาบ้วนปากก็ไม่ช่วยอะไร และมันผ่านมา 3
วันก็ไม่ได้ช่วยอะไร ในระหว่างที่กราบอยู่ ในใจคิดอยู่เรื่องเดียวว่า “หลวงพ่อรู้”
พอกราบเสร็จ หลวงพ่อก็ยังคงมองอาตมาอยู่ ด้วยสายตาที่ทราบว่า
เราไปทำเรื่องเลว ๆ มา แล้วท่านก็กวักมือเรียกอาตมาไปใกล้ ๆ “มาใกล้ ๆ นี่ไอ้หนู” อาตมาก็ขยับเข้าไปอีกนิดนึง
ท่านก็ว่าเข้ามาอีก แล้วก็กวักมือเป็นเชิงสัญญาณว่าให้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้ขนาดไหน ก็ขาของอาตมาไปชิดกับปลายเท้าของหลวงพ่อพอดี
แล้วเมื่ออาตมาก็เงยหน้ามองหลวงพ่อ ก็เห็นท่านยกมือ น่าจะเป็นมือซ้าย ยอมรับว่าจำไม่ได้เพราะเร็วมาก
แล้วมือข้างนั้นก็หวดลงมากลางหลังของอาตมาเสียงดัง “พลั่ก” พร้อม ๆ กับคำสอนที่เปลี่ยนนิสัยอาตมา
“ไอ้หนู เอ็งทำตัวดี ๆ นะ”
หลังจากนั้นอาตมาจึงคลานออกมา แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย
มีแต่ความคิดวนเวียนอยู่ในหัวว่า อายมาก อายครูอาจารย์ อายจนหน้าแดงร้อนผ่าวไปหมด ไม่ใช่อายเพราะโดนหลวงพ่อตบหลัง
แต่อายต่อความผิดต่อครูบาอาจารย์ และที่ท่านตบหลังเราเหมือนเตือนสติ และให้คำสอนที่ให้เราประพฤติตัวเสียใหม่
เสียงดัง “พลั่ก” ที่เกิดจากหลวงพ่อตบหลังนั้นดูเหมือนจะแรง แต่อาตมาไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนท่านแตะหลังเบา
ๆ มีแต่เสียง ไม่มีแรง เหมือนเราเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาม้วนหลวม ๆ แล้วตีศีรษะเล่นกัน
มันดังมากแต่ไม่เจ็บ แต่การตบหลังของหลวงพ่อนั้น มันกระทบที่จิตใจของลูกผู้ชายคนนี้เต็มเปาเลย
พอหลังจากวันนั้นไม่นาน หนุ่มเจ้าสำราญก็ตัดใจหักดิบเลิกอบายมุขทั้งหมด
ด้วยความคิดที่ว่า “เราจะยังมีหน้าไปบอกกับคนอื่นว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อได้อย่างไร
เมื่อในมือเรายังถือเบียร์อยู่ ยังมั่วสุมในอบายมุขอยู่ พอกันที เลิกให้หมด” แล้วชีวิตก็ได้มีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
พอเราเลิกอบายมุขได้ ความดีความประเสริฐมาแทนที่ เพื่อนคนพาลหายไปหมด มีแต่กัลยาณมิตรมาแทน
ความคิดเราก็เปลี่ยนไป อยู่ในเส้นทางธรรมมากขึ้น จนในที่สุดจึงได้มาบวชทดแทนคุณครูบาอาจารย์
คุณโยมพ่อโยมแม่ อาศัยคำพูดของบัณฑิตคือ หลวงพ่อทัตตชีโวไม่กี่คำ ใช้เวลาในการเข้าหาท่านไม่ถึง
5 นาที ยังประเสริฐกว่าคำสอนในมหาวิทยาลัยตลอด
4 ปี ที่ไม่สามารถปิดนรกเปิดสวรรค์ให้กับอาตมาได้ ท่านเปลี่ยนแปลงผู้ชายขี้เหล้าเมายาให้มาเป็นพระได้จนถึงทุกวันนี้
อาตมาก็มาคิดทบทวนย้อนหลังถึงเหตุการณ์นี้ว่า “กัลยาณมิตรเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์”
กว่าอาตมาจะได้มาบวชก็อาศัยกัลยาณมิตร คือโยมพ่อโยมแม่ คอยสนับสนุนการทำความดีทุกรูปแบบ
ได้พบกับคำสอนของหลวงพ่อ ที่เน้นย้ำถึงการสร้างบารมี เน้นย้ำถึงมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่
ที่จะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม จนอาตมาได้มาบวชแล้วก็ยังพึ่งพาคำสอนอันประเสริฐของหลวงพ่ออยู่
เพื่อที่อาตมาจะได้อาศัยประคับประคองเพศสมณะได้ตลอดชีวิต พร้อม ๆ กับการสร้างบารมีที่จะต้องให้แก่รอบมากยิ่งขึ้นไป
ดังนั้นชีวิตของอาตมาที่ได้พบกับสุดยอดกัลยาณมิตร
คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงเป็นชีวิตที่ประเสริฐยิ่ง เป็นชีวิตที่มีแก่นสาร
ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบกับพระพุทธศาสนา
ได้บวชเป็นพระสร้างบารมีไปตลอดชีวิต อาตมาจึงขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างสุดจิตสุดใจเลยครับ
อินฺทพโลภิกขุ