วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2563

ป้องกันตนเองจากโรคโควิด19 ด้วยนิสัยรักษาสุขภาพ ตอนที่ 4 นิสัยการกินอาหารเป็นยา


การสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดีที่สุด คือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ใช้การได้ตามปกติ โดยมีเครื่องชี้วัดคือ สิ่งที่เราขับถ่ายออกมา จากตอนที่แล้วเราได้ศึกษาจากเรื่อง นิสัยการขับถ่ายอุจจาระ แล้ว ครั้งนี้ เราจะมาดูการเลือกกินยาเมื่อเจ็บป่วย โดยสร้างนิสัยการกินอาหารเป็นยา



อาหารคือยาหลัก 

ใครก็ตามที่ป่วยไข้แล้ว อดทนฝืนใจปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น เมื่อถึงเวลากินก็กิน จะกินได้มากน้อยเท่าไรก็ฝืนกินเข้าไป เวลาปวด ปัสสาวะหรืออุจจาระก็ไม่อั้นเอาไว้ ฝืนเดินไปเข้าห้องน้ำ ถึงเวลานอนก็นอน หลับ ไม่หลับก็ฝืนหลับตานอน คนไข้ประเภทดูแลตัวเองเป็นอย่างนี้จะหายเร็ว

"ยาที่ดีที่สุดในโลก ไม่มีอะไรเกินข้าวปลาอาหารที่เรากินเข้าไป สิ่งนี้คือยาหลัก" 

ยาอะไร ๆ ที่มีในโลกนี้เป็นเพียงยาเสริมช่วยให้เราหายป่วยหายไข้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะกินยาอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้กินข้าวปลาอาหาร แล้วฟื้นยาก แม้ป่วยหนักท่านก็จะบอกว่า ให้ฝืนใจกินเข้าไป อย่างน้อยก็เอาไปรองท้องไว้ ไม่ให้น้ำย่อยกัดกระเพาะ ไม่ให้น้ำย่อยเสียเปล่า และที่สำคัญก็คือ เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารรวน ทั้งนี้เพราะเมื่อน้ำย่อยหลั่งออกมา แล้วไม่ถูกใช้ วันหลังก็จะไม่หลั่งออกมา หรือหลั่งผิดเวลา ซึ่งจะมีผลเสียตามมาอีกเยอะ

ดังนั้น คนประเภทที่ป่วยแล้วใจตก ท้อแท้ นอนซม ไม่พยายามกระดุกกระดิก ทำตัวเหมือนคนใกล้ตาย คนประเภทนี้อย่าว่าแต่เวลาป่วย แม้เวลาทำงานตามปกติ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่ใครถ้าถึงเวลากิน แม้ไม่หิวก็ต้องกิน เพียงแค่ นึก ๆ ให้อยากกิน เดี๋ยวก็กินได้ ถึงเวลานอน แม้ไม่ง่วงก็ข่มตานอนได้ คนประเภทนี้กำลังใจ กำลังสติปัญญามหาศาลเพียงไหน แล้วจะมีอะไรอีกที่เขาทำไม่สำเร็จ

น้ำซุปดีอย่างไร



แต่ละอย่างที่กินมีวัตถุประสงค์ หรือประโยชน์อะไร คนที่กินต้มยำเป็น เขาจะกินแต่น้ำแกง น้ำแกงซึ่งเป็นส่วนที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด ทำไม? ขอให้นึกถึงยาต้ม ยาหม้อ เรากินน้ำยา หรือว่ากินกากยา ทุกคนตอบได้เองอยู่แล้ว แต่ความเป็นจริงปรากฏว่าคนส่วนใหญ่ เมื่อกินต้มยำจะกินแต่เนื้อ คือกินกากอาหารซึ่งย่อยยาก แล้วบอกว่ากินแล้วหนักท้อง อยู่ท้องดี ส่วนน้ำแกง ซึ่งเป็นส่วนที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด กลับเอาไปเททิ้งเสีย

นอกจากอาหารแล้ว ยาตามธรรมชาติของเราอีกอย่างหนึ่ง คือ น้ำมูตรเน่า ซึ่งจะนำเสนอไว้เป็นความรู้ในที่นี้ เพื่อเป็นประโยชน์ในยามจำเป็น ที่หายารักษาโรคไม่ได้ 

การดื่มน้ำมูตรเน่า 

น้ำมูตรเน่า ก็คือ น้ำมูตร หรือน้ำปัสสาวะ แม้ออกมาจากร่างกายใหม่ ๆ ก็เรียกว่า "น้ำมูตรเน่า" ทั้งนี้เพราะออกมาจากร่างกาย ที่มีการเน่าเปื่อยผุพังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น... แม้ปัสสาวะที่ยังอุ่น ๆ อยู่ก็ชื่อว่าเน่าแล้ว
การดื่มน้ำมูตรเน่า จึงสมดังพุทธพจนที่ว่า "อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน"
ประโยชน์ของการดื่มปัสสาวะ ประโยชน์สำคัญของการดื่มปัสสาวะมีอยู่ 2 ประการ คือ

1.      ใช้ลดไข้ ในกรณีอยู่ลำพังคนเดียว ไม่มีใครมาเช็ดตัวให้ การดื่มปัสสาวะตนเอง จึงเป็นวิธีลดไข้ที่ดีที่สุด ปัสสาวะที่จะใช้ดื่มนั้น โดยทั่วไปปล่อยทิ้งไว้สักครู่ให้เย็นแล้วจึงดื่ม ปริมาณที่จะดื่ม ดื่มเต็มที่ได้เท่าไรก็เท่านั้น ส่วนจะดื่มกี่ครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับ ว่าไข้ได้ลงได้มากเท่าไรแล้ว ถ้ายังลดไม่พอใจ ก็ดื่มเข้าไปอีก 1-2 เที่ยว ติดต่อกันก็ได้ ไม่มีอันตรายใด ๆ

2.      ใช้รักษาโรค เมื่อพระภิกษุอาพาธ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ใช้น้ำมูตรเน่า หรือ ปัสสาวะตนเองบำบัดรักษา เป็นวิธีการรักษาความเจ็บไข้ด้วยตัวเองนานกว่า 2,500 ปี มาแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังทันสมัยอยู่ เมื่อเราดื่มปัสสาวะกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง เป็นเสมือนการฉีดวัคซีน หรือการปลูกฝี สิ่งแปลกปลอมที่ปนมากับปัสสาวะ ก็จะเป็นตัวไปกระตุ้นให้ทหาร ผลิตอาวุธชีวภาคที่เฉพาะเจาะจง กับสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ และพร้อมที่จะใช้ต่อสู้ เมื่อสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ กลับเข้ามาในร่างกายอีก

ข้อควรปฏิบัติเพื่อสุขภาพ ในแต่ละช่วงเวลากับการทำงานของอวัยวะภายใน

00.00 - 03.00 น. ตับ นอนหลับพักผ่อนให้หลับสนิท
                          (ความจำดี ขับไขมันในตับ ตื่นขึ้นมาสดชื่นไม่เพลีย)
03.00 - 05.00 น. ปอด ตื่นนอน สูดอากาศบริสุทธิ์ (ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง)
05.00 - 07.00 น. ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัว เพื่อขับถ่ายอุจจาระอย่างเป็นปกติ (ล้างลำไส้ให้สะอาด)
07.00 - 09.00 น. กระเพาะอาหาร กินอาหารเช้า บำรุงสมอง 
                          (ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ป้องกันสมองเสื่อม) 
09.00 - 11.00 น. ม้าม พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ (นํ้าเหลืองเสีย แผลในปาก เก๊าต์ อ้วน ผอม 
                          เบาหวาน)
11.00 - 13.00 น. หัวใจ หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง (บำรุงหัวใจ) 
13.00 - 15.00 น. ลำไส้เล็ก งดกินอาหารทุกประเภท (ไขมันเกาะลำไส้ทำให้เกิดแก๊สและปวดท้อง)
15.00 - 17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เหงื่อออก (ออกกำลังกายหรืออบตัว...ขับสารพิษได้มาก 
                          ในช่วงนี้) 
17.00 - 19.00 น. ไต ทำให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
19.00 - 21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ ทำสมาธิหรือสวดมนต์
21.00 - 23.00 น. ระบบความร้อนของร่างกาย (ห้ามอาบนํ้าเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น)
23.00 - 01.00 น. ถุงนํ้าดี ดื่มนํ้าก่อนเข้านอน



สำหรับการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด19 สามารถศึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ความรู้ทางสื่อต่าง ๆ ซึ่งหากเราปรับพฤติกรรมได้เหมาะสม เช่น ล้างมือบ่อย ๆ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ ในสถานที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน และ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ  หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของบุคคลอื่น ๆ โดยการสวมหน้ากาก รวมถึงการเว้นระยะห่างจากสังคม รับประทานอาหารเผ็ดร้อน เพื่อกระตุ้นการสร้างภูมิ ออกกำลังกาย รับแสงแดด และ นอนหลับให้เพียงพอ เป็นต้น ก็เชื่อว่าโอกาสที่จะติดโรคนี้ก็จะเป็นไปได้ยาก

แต่อย่างไรก็ตาม การดูแลร่างกายให้แข็งแรง โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ร่างกายนี้ในการสร้างความดีและบุญกุศล จึงจะสามารถเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้ห่างจากโรคร้าย และ ป้องกันความทุกข์ทรมานจากโรคได้ เราจึงต้องไม่ประมาทในการใช้ชีวิต หมั่นทำทาน รักษาศีล สวดมนต์ เจริญภาวนา ทำจิตให้ผ่องใส ควบคู่การดูแลสังขารภายนอก นี้จึงจะเรียกว่า เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ คือ ดูแลสุขภาพกายและใจไปพร้อมกัน



ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก
หนังสือสุขภาพที่ดีคุณทำได้ง่าย ๆ สบาย ๆ (สรุปจากธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตชีโว)
ข้อมูลป้องกันCorona Virusจากโรงพยาบาลมุกดาหาร
ภาพจาก www.pixabay.com 



วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563

ป้องกันตนเองจากโรคโควิด19 ด้วยนิสัยรักษาสุขภาพ ตอนที่ 3 นิสัยการขับถ่ายอุจจาระ


สิ่งที่บ่งบอกถึงสุขภาพของเรานั้น หนีไม่พ้นของเสียที่เราได้ขับออกมา ซึ่งต่อเนื่องจาก ตอนที่ 2 นิสัยการขับถ่ายปัสสาวะ ก็คือเรื่องราวของ นิสัยการขับถ่ายอุจจาระ อย่างเป็นเวลาและสม่ำเสมอนั่นเอง อุจจาระอาจจะดูเหมือนสิ่งปฏิกูล น่ารังเกียจ เป็นของไม่น่าพิสมัยแต่อย่างใด แต่แท้จริงแล้ว มันคือ ตัวชี้วัดชั้นดี ที่วงการแพทย์นั้นจะใช้ตรวจสอบในเรื่องของสุขภาพ และเราซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายนี้ หากมีความสังเกต ก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ได้ด้วยเช่นกัน สำหรับการป้องกันเชื้อโรคอย่างโควิด19นั้น เราต้องอาศัยการสังเกตตัวเราด้วยเช่นกัน และการขับถ่ายอุจจาระก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องภูมิคุ้มกันร่างกายโดยตรงเลยทีเดียว

นิสัยการขับถ่ายอุจจาระ

เป็นที่ทราบกันดีว่า การอั้นของเสียไว้ในร่างกาย ย่อมสร้างผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากเราทราบถึงผลเสียแล้ว การสร้างนิสัยที่ดีย่อมจะทำได้ไม่ยาก

ผลเสียของการอั้นอุจจาระ

ลักษณะเฉพาะของอุจจาระที่สำคัญมี 2 อย่าง คือ 

1. มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว มันไม่ได้แข็งโป๊ก เหมือนอย่างลูกกระสุนยิงนก แล้วมันก็ไม่ใช่เหลวเละจนปั้นก้อนไม่ติด ลักษณะของอุจจาระที่ปกติคือ กึ่งแข็งกึ่งเหลว 

2. มีกลิ่นเหม็น แต่ไม่มีกลิ่นเน่า กลิ่นเหม็นกับกลิ่นเน่ามันต่างกัน กลิ่นเหม็นเป็นธรรมดาของอุจจาระ เหม็นเพราะมีแก๊สเจือปน เช่น แก๊สบิวเทน และ แก๊สมีเทน แต่ว่ากลิ่นเน่าอีกอย่างหนึ่ง ขอให้สังเกตกลิ่นอุจจาระในกระโถน ขณะที่อุจจาระลงไปใหม่ๆ ในกระโถนนั่นแค่กลิ่นเหม็นแต่ถ้าทิ้งไว้ในกระโถน สักสองวัน นั่นกลิ่นอุจจาระเน่า





  • ของเสียเข้าเส้นเลือด


เมื่อมีอาการปวดอุจจาระ แล้วเราอั้นเอาไว้นาน ๆ น้ำที่ปนอยู่ในอุจจาระ ซึ่งทำให้อุจจาระมีสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลว จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือด เช่นเดียวกับการอั้นปัสสาวะ ของเสียที่จะต้องขับทิ้ง ถูกดูดซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือด ผลที่ตามมาเป็นลูกโซ่ก็คือ โลหิตเสีย เลือดน้อย ตับร้อน ไตร้อน โรคภูมิแพ้ กลิ่นตัวแรง เป็นต้น


  • ท้องผูกสลับท้องเสีย


การอั้นอุจจาระเอาไว้นาน ๆ น้ำจากอุจจาระจะถูกดูดซึมกลับ เข้าไปในเส้นเลือด อุจจาระจึงแข็ง ถ่ายออกยาก ดีไม่ดีต้องแคะออก เพราะว่ามันค้างอยู่นาน อุจจาระที่แข็งมาก เมื่อพยายามถ่ายออกมา ก็จะไปครูดกับผิวของทวารหนัก นี่คือ ที่มาของโรคริดสีดวงทวารหนัก

อุจจาระแข็งที่ถูกอั้นเอาไว้หลายวัน จะถูกแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้เข้าไปกิน แล้วก็ขับสารพิษ (Toxic) ออกมา ทำให้อุจจาระเน่า และเกิดอาการท้องเสีย ขับถ่ายพรวดพราดออกมา กลิ่นเหม็นเน่ามาก เพราะฉะนั้นใครที่มีอาการ เดี๋ยวก็ท้องผูก เดี๋ยวก็ท้องเสียสลับกัน พึงรู้เถิดว่าสาเหตุหนึ่งคือ การอั้นอุจจาระนาน ส่วนโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความประมาทของผู้นั้น


  • ท้องผูก-ริดสีดวงทวารหนัก โรคท้องผูก


สาเหตุทั่วไปของการเกิดโรคท้องผูก ได้แก่
1. ร่างกายขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อย หรือบางทีแม้ดื่มน้ำมาก แต่ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเก็บน้ำไว้ได้ ก็ทำให้ขาดน้ำ สาเหตุที่เก็บน้ำไม่ได้ ก็เพราะเราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจึงไม่ฟู ทำให้เก็บน้ำไว้ไม่ได้ หรือมิฉะนั้นการดื่มน้ำเย็นจัด เช่นน้ำใส่น้ำแข็งก็ ทำให้ร่างกายไม่เก็บน้ำ หรือการอยู่หน้าเตาไฟ หน้าตู้อบนาน ๆ ความร้อน จากเตาไฟ จากตู้อบดึงน้ำในตัวออกไป แต่เจ้าตัวยังดื่มน้ำในปริมาณ เท่าเดิม ผลที่ตามมาก็คือ มีอาการท้องผูก
2. ไม่ชอบรับประทานพืชผักผลไม้ ชอบกินแต่อาหารประเภทเนื้อ หรือพวกอาหารที่มีกากน้อย แต่ไม่กินผักผลไม้ที่มีกากมาก ใครที่เคยล้างท่อหรือล้างขวด จะเข้าใจได้ดีว่า ถ้าจะให้ท่อหรือขวดเกลี้ยง เขาต้องใช้แปรงขัดด้ามยาว ๆ ล้วงเข้าไปขัดในท่อหรือในขวด แต่ลำไส้ของเรายาวกว่าขวด แล้วจะใช้แปรงอะไรสอดเข้าไปล้างลำไส้ ก็ใช้เส้นใยจากพืชผักผลไม้ที่กินเข้าไป เพื่อไปทำหน้าที่ครูดเอาของเสีย ออกจากผนังลำไส้ พืชผักผลไม้จึงเป็นเสมือนแปรงล้างลำไส้ของคนเรานั่นเอง
3. อั้นอุจจาระนาน ๆ การอั้นอุจจาระไว้นาน ๆ เป็นผลให้น้ำที่มีอยู่ในอุจจาระ ถูกลำไส้ใหญ่ดูดซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือด หลังจากน้ำถูกดูดซึมออกจากอุจจาระ อุจจาระก็จะแข็ง ท้องจึงผูก เพราะฉะนั้นอย่าถ่ายอุจจาระผิดเวลาโดยใช่เหตุ ถึงเวลาเมื่อไร ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ช่าง ขอเวลาไปถ่ายก่อนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน
4. ไม่ชอบออกกำลังกาย ยิ่งถ้านอนเฉย ๆ หรือนั่งเฉย ๆ เป็นเวลานาน ๆ จะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ค่อยบีบตัว อุจจาระก็ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ติดต่อกันหลายวัน จึงเกิดอาการท้องผูกขึ้น หากทิ้งไว้นาน ๆ ท้องจะเสียตามมา เพราะอุจจาระที่ตกค้างเน่า




คนท้องผูกอย่างหนักจะแก้ไขได้อย่างไร

วิธีแก้ไขอาการท้องผูกอย่างหนักอาจทำได้ 3 วิธีดังนี้

วิธีที่ 1 เป็นวิธีง่ายๆ ตามแบบโบราณ กล่าวคือ เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าแล้ว ก็ชงน้ำชาใส่ใบชาลงไปนิดหน่อยเพียงแค่มีกลิ่น นั่งดื่มน้ำชาอ่อน ๆ อุ่น ๆ ถึงแม้จะดื่มน้ำชาหมดไปกาสองกา ถ้ายังไม่ปวดอุจจาระก็ไม่เลิกดื่ม ดื่มน้ำชาไปก็ออกกายบริหารเบา ๆ ไป ไม่เร่งไม่ร้อน เดี๋ยวก็ปวดอุจจาระจนได้ เมื่อปวดแล้วก็ให้รีบไปขับถ่ายเสีย ถ้าหากวันแรกยังไม่ถ่ายก็อย่าเพิ่งท้อ ทำติดต่อกันไม่เกิน 3 วัน ก็ถ่ายจนได้และกลายเป็นนิสัยถ่ายแต่เช้าโดยอัตโนมัติ

วิธีที่ 2 การใช้ยาระบาย ยาระบายควรอยู่ในรูปอาหาร เช่น มะขามเปียก (มะขามเปรี้ยวดีกว่ามะขามหวาน) ยอดชุมเห็ดเทศ เป็นต้น ยาระบายที่อยู่ในรูปอาหารจะมีคุณค่ามากกว่า ยาถ่ายจากร้านขายยา เพราะการใช้ยาถ่ายจากร้านขายยา นาน ๆ ไปจะทำให้ติดยาถ่าย ถ้าไม่กินยาก็ไม่ถ่าย

วิธีที่ 3 สร้างกล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนัก วิธีนี้ทำได้โดยการ ออกกำลังที่ปากทวารหนัก กล่าวคือ ถ้ามีอาการท้องผูก เมื่อถึงคราวปวดอุจจาระ แต่อุจจาระแข็งมากจนเบ่งถ่ายไม่ออก ก็ให้เบ่งไม่แรงนักแล้วก็ขมิบ เบ่งนิดเดียวแล้วก็ขมิบ (ไม่ใช่ เบ่งหน้าเขียวหน้าเหลือง) ถ้ายังไม่ออกก็ใช้หัวฉีดน้ำล้างก้น ฉีดน้ำไปที่ปากทวารหนัก เพื่อให้น้ำเข้าไป ช่วยหล่อลื่น ทำสลับกับการเบ่งแล้วขมิบ จนกว่าจะถ่ายออก การเบ่งพรวดเดียวไม่ได้ช่วยให้ลำไส้ ได้มีโอกาสออกกำลัง แต่การเบ่งแล้วขมิบ เป็นการใช้กำลังที่ทวารหนักมาช่วยลำไส้ และในที่สุดกล้ามเนื้อหูรูดที่ปากทวารหนักก็จะมีกำลัง ตามมาด้วย ถ้าทำอย่างนี้ไม่นาน อาการท้องผูกจะคลายลง เพราะทั้งลำไส้ใหญ่และกล้ามเนื้อโดยรอบทวารหนัก มีกำลังพอที่จะขับอุจจาระด้วยตนเองได้


  • ริดสีดวงทวารหนัก


ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง จะเป็นเหตุให้โรคริดสีดวงทวารหนัก เกิดตามมาได้ง่าย เพราะฉะนั้นผู้ที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี จะไม่ยอมให้ท้องผูกเป็นอันขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดริดสีดวงทวารหนักได้ แต่ทว่าเมื่อมีอาการริดสีดวงทวารหนักเกิดขึ้น มีวิธีดูแลรักษาด้วยตนเอง ดังนี้

1. ถ้าใครมีอาการอักเสบที่บริเวณทวารหนัก เช่น ปากทวารหนักบวมเป่ง บ่อย ๆ ทั้งปวดและเจ็บจนแทบก้าวขาไม่ออก วิธีแก้ไขขั้นต้นอย่างง่าย ๆ ซึ่งจะช่วยให้ทุเลาลงได้ ภายในไม่กี่นาที คือ เอามะกรูดแก่ ๆ ผลหนึ่งมาอังไฟ อาจจะใช้โคมไฟดูหนังสือก็ได้ โคมไฟที่มีความร้อนขนาด 80 วัตต์กำลังดี (ถ้าไม่มี 80 วัตต์ จะใช้ 100 วัตต์ก็ได้ หรืออย่างน้อยต้อง 60 วัตต์) อังพออุ่น ๆ แล้วลองใช้หลังมือแตะดู เมื่อรู้สึกว่าอุ่นพอทนได้ ก็ใช้มะกรูดอุ่น ๆ นั้น นาบที่บริเวณทวารหนัก พอลูกมะกรูดเย็นลง ก็เอามาอังไฟใหม่ แล้วก็ไปนาบอีก ทำสลับกัน ไปเช่นนี้ประมาณ 10 นาที เราก็จะรู้สึกด้วยตัวเองเลยว่า ส่วนที่บวมอักเสบจะยุบ อย่างน้อย 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และอาจมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์
บริเวณผิวที่นาบด้วยลูกมะกรูดนั้นถ้าปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืนอาจจะรู้สึกแสบ ต้องใช้ครีมทาช่วยลดการระคายเคือง อาจจะเป็นครีมทาหน้า หรือครีมทาตัวก็ได้ แล้วก็นอนหลับสักตื่น ตื่นขึ้นมาจะพบว่าอาการบวมยุบหายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 60 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ที่เพิ่งเป็นครั้งแรกๆ อาการบวมอักเสบอาจจะเหี่ยวหายไปเลย แต่สำหรับผู้ที่เป็นมาเรื้อรัง จะไม่หายขาด เพียงแค่ทุเลาเท่านั้น แต่ในกรณีที่ยังมีเลือดไหลไม่หยุด ก็ต้องไปหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญโรคนี้โดยตรง

2. ต้องหัดบริหารทวารหนักให้เป็น วิธีทำง่าย ๆ และได้ผลชะงัดคือ แต่ละครั้งที่เข้าห้องน้ำ ไม่ว่าถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ ถ่ายเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบออก จากห้องนํ้า ให้นั่งลงที่โถส้วมแล้วขมิบทวารหนัก คราวละ 300 - 400 ครั้ง เสร็จแล้วจึงค่อยไปทำธุระอย่างอื่น ปฏิบัติต่อเนื่องกันไปอย่างนี้ ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ อาการท้องผูกและริดสีดวงทวารหนัก จะหายไปพร้อม ๆ กัน อย่างน่าอัศจรรย์




การดูแลตัวเองเมื่อท้องเสีย

ท้องเสีย หมายถึงภาวะที่มีอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลว ๆ มากกว่า 3 ครั้ง หรือถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือด อาจมีอาการปวดท้อง และอาเจียนร่วมด้วย

อาการท้องเสียเฉียบพลัน 

ส่วนมากมีสาเหตุมาจากอาหารเป็นพิษ คือ อาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน เป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อโรค หรือสารเคมี เช่น สารกันบูด ยาฆ่าแมลง เป็นต้น โดยทั่วไป ซึ่งมักจะพบว่ามีประวัติกินอาหารร่วมกัน และมีอาการพร้อมกันหลายคน อาการจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า จะรุนแรงมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปริมาณที่กิน ชนิดของเชื้อโรคและสารเคมีนั้น ๆ รวมทั้งความต้านทานของแต่ละคนด้วย

ตามปกติแล้วร่างกายของคนเรา จะมีการปรับสภาพช่วยเหลือตัวเองแบบ อัตโนมัติ คือถ้ากินสิ่งที่เป็นพิษเข้าไป ร่างกายก็จะพยายามขับพิษออกทันที โดยลำไส้จะพยายามบีบตัว เพื่อขับพิษออกมา ขณะลำไส้กำลังบีบตัวเอง เพื่อขับสารพิษออกนั้น อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดมวนท้อง ขับถ่ายหลาย ๆ หน เพื่อขับของเสียออกให้หมด เพราะฉะนั้น เมื่อท้องเสีย หากไม่มีคลื่นไส้อาเจียน หรือมีคลื่นไส้อาเจียนแต่ไม่มาก ยังสามารถกินอะไรได้บ้าง เราจะต้องดื่มน้ำเข้าไปให้มาก ๆ ถ้าให้ดี ควรเป็นน้ำผสมเกลือแร่ (ที่เขาทำเป็นซอง ๆ มีขายตามร้านขายยาทั่วไป) เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ ก็จะทำให้อ่อนเพลีย บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นช็อกหมดสติเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การดื่มน้ำเข้าไปได้มากเท่าไร จะช่วยทำให้สารพิษต่าง ๆ ในลำไส้เจือจางลง อีกทั้งยังช่วยขับถ่ายสารพิษออกจากร่างกาย ได้โดยเร็วอีกด้วย เมื่อของเสียถูกขับถ่ายออกหมด อาการต่าง ๆ ก็จะดีขึ้นเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเลย ถ้าหากมีอาการมาก เช่น ปวดมวนท้องมาก หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียนจนกินอะไรไม่ได้ เป็นต้น ในกรณีนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า จะต้องกินยาหรือฉีดยา ตามการวินิจฉัยของหมอ




เพราะฉะนั้น อยากฝากพวกเราไว้ว่า เมื่อมีความผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพ อย่าเพิ่งไปคิดพึ่ง ใคร ต้องคิดพึ่งตัวเองเป็นอันดับแรก ฝึกสาวจากผลที่เกิดขึ้นไปหาต้นเหตุ ด้วยการสำรวจตัวเอง ด้วยการนึกทบทวนก่อนว่า สิ่งที่เราประพฤติใน วันนี้หรือวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา มีความผิดพลาดอะไรกับตัวเราบ้าง การนึกทบทวนนี้บางทีอาจจะผิด หรืออาจจะถูกก็ได้ แล้วนำไปเล่าให้หมอฟัง หมอซึ่งมีความชำนาญมากกว่าเรา จะช่วยตัดสินให้เราได้ว่า สิ่งที่เราสันนิษฐานนั้นผิดหรือถูก ใช่หรือไม่ใช่ และถ้าหมอได้ข้อมูลถูก หมอก็สามารถมุ่งไปแล้วรักษาที่ต้นเหตุ ไม่นานพวกเราก็หายป่วย

ถ้าการนึกทบทวนสอบสาวราวเรื่องของเรา ปรากฏว่าตรงตามความเป็นจริง ก็หมายความว่า เราเองเริ่มมีความรู้ มีความรอบคอบขึ้นบ้างแล้ว ก็จะเกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้น และเป็นการสร้างนิสัย ช่างสังเกตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ไม่เฉพาะเรื่องสุขภาพเท่านั้น แม้ในเรื่องอื่น ๆ ด้วย แล้วในที่สุดความเชื่อมั่นในตัวของเราเองก็จะเพิ่มมากขึ้น

ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้น กับตัวเราจะร้ายหรือดีก็ตาม พึงเอาสิ่งนั้นมาเป็นบทฝึกให้เกิดนิสัย ช่างสังเกต ให้เกิดปัญญา ให้รู้จักตัวเอง ถ้าสังเกตไม่ออก ก็ให้ไปขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้ อย่าอาย อย่ากลัวเสียหน้า แล้วเราก็จะไม่เจ็บตัวเปล่า เพราะเจ็บแล้วก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้น รู้จักระวังเพิ่มขึ้น ที่เรียกว่า ผิดเป็นครู คือ จะไม่มีการเจ็บซ้ำสองในเรื่องนั้น ๆ อีกต่อไป

ร่างกายที่แข็งแรงไม่มีขาย จะต้องสร้างด้วยตัวเองเท่านั้น หมั่นสำรวจการขับถ่ายเพื่อตรวจสอบและสร้างภูมิคุ้มกันในตัว คือหลักประกันที่ดีที่สุด

ตอนต่อไปจะได้นำนิสัยการกินอาหารมานำเสนอ โดยเน้นเรื่องการกินอาหารเป็นยา เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันและเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นยามเจ็บป่วย เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก
หนังสือสุขภาพที่ดีคุณทำได้ง่าย ๆ สบาย ๆ (สรุปจากธรรมเทศนาของหลวงพ่อทัตตชีโว)
ภาพจาก www.pixabay.com